วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Piggy The Journey in South Korea ... Part I : Immigration - AREX - Hotel - Garosu-gil - Hongdae

ซา หวัด ดี ค๊าาาา
ห่างหายจากการเขียนบล็อคไปนาน ช่วงนี้มีเวลาว่างได้กลับมาเขียนอีกรอบ รู้สึกตื่นเต้นและคันมือเป็นที่สุด!

กระทู้นี้พิกกี้จะเขียนเรื่องเที่ยวที่ประเทศเกาหลีใต้ค่ะ จริงๆแล้วพิกกี้ไปเที่ยวตั้งแต่ตุลาคม2015แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที ตอนนี้เคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มีเวลามาเขียนแล้ว และเหมือนเดิมคือเน้นกินและเที่ยวมากกว่าช็อปปิ้งค่ะ 555

พิกกี้ได้หยุดยาวติดกัน 6วัน เลยใช้วันหยุดนี้ไปเที่ยว แผนการเที่ยววางแผนไว้อย่างดิบดีเลยค่ะ แต่เอาเข้าจริงๆได้เที่ยวตามแผนบ้างนอกแผนบ้าง แล้วแต่สถานการณ์และความตื่นสายไม่มีกำหนดตายตัวน่ะค่ะ

ต้องขอออกตัวก่อนว่าทริปนี้เป็นทริปบินเกือบฟรีและนอนเกือบฟรี คือมีผู้สนับสนุนบางส่วน ที่เหลือออกเองค่ะ
ขอขอบพระคุณผู้สนับสนุนหลักดังนี้
* สายการบิน AIR ASIA X บินตรงสู่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้เลย ทริปนี้ Piggy ได้ตั๋วมาฟรีแต่ต้องเสียค่ากระเป๋าเองค่ะ
* ที่พักฟรี 2 คืน 3 วัน ที่โรงแรม Novotel Ambassador Gangnam
* Airbnb สำหรับที่พักที่สะดวกสบายอีก3คืนที่เหลือ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและการคมนาคมที่สะดวกมากกกก กอไก่ล้านตัว(ค่าใช้จ่ายนี้ออกเองนะคะ ไม่มีผู้สนับสนุน)

27 Oct'15
เวลา 01.55 AM ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง มุ่งตรงถึงกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เวลา 09.15 AM สภาพอากาศเป็นใจมากเพราะท้องฟ้าแจ่มใส มีลมแรงบางช่วงแต่เห็นก้อนเมฆและดวงอาทิตย์ชัดเจน
สิ่งที่ใครหลายๆคนเกรงกลัวกันก็คือ ตม.เกาหลีอันเลื่องชื่อ หลายคนไซโคกรอกหูพิกกี้ว่าโหดอย่างนั้น โหดอย่างนี้ ต้องแต่งตัวดีๆ แต่งหน้าหน่อยๆ มองตาเจ้าหน้าที่ บลา บลา บลา พิกกี้เองก็แอบหวั่นๆจากกิตติศัพท์ที่ได้ยินมา 555 เมื่อเครื่องแลนดิ้ง ลงจากเครื่องก็เดินตามป้าย Arrival ไปเรื่อยๆ จนไปเจอรถไฟเพื่อพาเราไปยังอีก Terminal เพื่อไปผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ก็เข้าแถวกันไปเรื่อยๆ สิ่งที่ต้องเตรียมคือพาสปอร์ตและใบ ตม. ที่เรากรอกบนเครื่อง 

พิกกี้กับเพื่อนก็ยืนรอในแถวไปเรื่อยๆ จนถึงคิวก่อนหน้าเป็นผู้หญิงคนไทย แต่งตัวแต่งหน้าจัดเต็มมาก เสื้อโค๊ทมีเฟอตรงคอ พร้อมรองเท้าบูทชนิดที่ว่ากันหิมะกัดขาได้ ในใจก็คิดว่า เห้ย!เขามาเต็มมาก คงผ่านแบบฉลุยแน่ๆ ไอ้เราก็ใส่แค่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ พร้อมหน้าที่ยังไม่ได้ล้างและฟันที่ยังไม่ได้แปรง จะผ่านไหมกรู ตายแน่ๆงี้ ปรากฏว่า คุณพี่ท่านนั้นถูกเชิญไปอยู่ในห้อง ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่เห็นว่าพี่เขามีน้ำตาคลอๆตอนที่เดินเข้าห้องนั้นไป จนมาถึงคิวพิกกี้กับเพื่อนเจ้าหน้าที่เรียกให้เข้าคนละช่อง แอบหวั่นๆว่าไม่ใครก็ใครจะโดนเรียกหรือเปล่า พิกกี้กับเพื่อนเหลือบมองหน้ากัน ประหนึ่งให้กำลังใจกัน 555 ได้ ตม. เป็นผู้ชายเหมือนกัน

ณ เคาท์เตอร์ ตม.
พิกกี้: Hi, Good morning. ทักทายพร้อมยื่นพาสปอร์ตและใบตม
โอ้ปป้า ตม: Hi! What are you doing here? How many day will you stay here? ทำหน้าเข้ม คิ้วขมวดพร้อมกับพลิกพาสปอร์ตดูทีละหน้า และมองหน้าพิกกี้
พิกกี้: I'm here for travel and will be stay here for six days. ตอบคำถามพร้อมแจกยิ้มไปหนึ่งที
โอ้ปป้า ตม: Are you here alone? Do you have any.....travel plan? นางถามคำถามก้มดูพาสปอร์ตแล้วอยู่ดีๆ นางก็หยุดกึกชะงักไป แล้วเงยหน้ามาถามต่อ
พิกกี้: ด้วยความสงสัยว่านางชะงักไปทำไม เลยก้มลงไปมอง เลยเห็นว่านางเปิดไปเจอหน้าวีซ่าที่พิกกี้เคยไปเยอรมันมา แล้วตอบนางว่า I'm here with my friend and here is my travel plan. พร้อมยื่นแผนการเที่ยวที่เตรียมไว้ให้นางดู
โอ้ปป้า ตม: เหล่ตามองแผนการเที่ยวแต่ไม่หยิบไปดู แล้วปั๊ม ตม. บนพาสปอร์ตให้ พร้อมผายมือให้พิกกี้เดินเข้าไป

พิกกี้รับพาสปอร์ตมาอย่างงงๆ เหยยย เสร็จแล้วหรอ ยังไม่ถึงห้านาทีเลย ไหนหล่ะที่เขาว่าน่ากลัวนักน่ากลัวหนาน่ะ สรุปก็ผ่าน ตม. แบบงงๆ จากนั้นก็ยืนรอเพื่อนซึ่งใช้เวลาไม่นานเหมือนกันแล้วไปรับกระเป๋าที่สายพาน
รับกระเป๋าเสร็จแล้ว พิกกี้กับเพื่อนก็แวะห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนชุด กันให้พร้อม เพราะเกรงใจคนบนรถไฟ อาจจะเหม็นขี้ฟันเอาได้ 555 แล้วคุยกันว่าจะเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมก่อนเพราะยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน จากนั้นเดินตามป้าย Taxi/Bus หรือ Airport Railroad ไปเรื่อยๆ เพื่อไปขึ้นรถไฟเข้าเมือง จริงๆแล้วมีวิธีเข้าเมืองหลายวิธี ทั้งแท็กซี่ รถบัส รถไฟ พิกกี้เลือกรถไฟเพราะโรงแรมที่พักอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ก่อนที่จะไปขึ้นรถไฟ พิกกี้ต้องหาซื้อบัตร T-Money ก่อน บัตรนี้คล้ายๆบัตร Rabbit BTS ของบ้านเรา คือใช้ขึ้นรถไฟฟ้า รถบัส ซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต ใช้ได้หมด เงินหมดก็เติมได้ทั้งตู้เติมหรือในซุปเปอร์ เรียกว่าบัตรเดียวใช้ได้สะดวกเกือบทุกอย่าง มีค่ามัดจำบัตรด้วย จะได้คืนตอนเรานำบัตรไปคือ ส่วนเท่าไหร่นั้นพิกกี้จำไม่ได้แล้ว 5555 พิกกี้เองไม่ได้คืนหรอก เพราะเก็บบัตรมาเป็นที่ระลึกค่ะ
บัตรT-Money
พิกกี้ใช้บริการ รถไฟใต้ดิน Airport Railroad (AREX) มี 2 แบบคือ แบบธรรมดาจอดทุกสถานี (Commuter) และแบบด่วนจอดแค่สถานีปลายทางสถานีเดียว (Express) พิกกี้กับเพื่อนเลือกใช้แบบธรรมดา เพราะมีกระเป๋าเป้แค่คนละใบ สัมภารกไม่เยอะเลยนั่งชิวๆได้ จาก Incheon International Airport พิกกี้นั่งมาลงที่สถานี Gimpo airport เพื่อเปลี่ยนไปใช้รถไฟใต้ดินสาย 9 สีน้ำตาลไปลงที่สถานี Shinnonhyun station แล้วใช้ทางออกหมายเลข 4 จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณห้านาที จะพบโรงแรม Novotel Seoul Ambassador Gangnam ซึ่งเป็นที่พักช่วงสามคืนแรกอยู่ทางขวามือ ถึงโรงแรมแล้วก็จัดการทำเรื่องเช็คอิน และเตรียมฝากกระเป๋า แต่ด้วยความโชคดี ห้องที่พิกกี้จองไว้แขกที่อยู่ก่อนหน้า early check out ไปตั้งแต่เช้าตรู่ พิกกี้เลยได้ห้องก่อนเวลาเช็คอิน พนง.เลยให้พิกกี้ขึ้นห้องได้ ขอบคุณจริงๆนะคะ สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นนี้ ^___^
Novotel Ambassador Gangnam
หลังจากวางสัมภารกต่างๆ เตรียมเสื้อแขนยาวไปปะทะความเย็นของเดือนตุลาเรียบร้อย พิกกี้กับเพื่อนก็ออกไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวละแวกที่พัก ซึ่งได้แก่ Garosu-gil, Hongdae, Edae, Itaewon และ Gangnam
 * กาโรซูกิล (Garosu-gil) รถไฟใต้ดินสาย3 สีส้ม สถานีSinsa exit 8 หรือลงที่สถานีApgujeoung
ถนนกาโรซูกิล ย่านSinsa เขตGangnam เป็นย่านการค้าที่รวบรวมคาเฟ่น่ารักๆ สินค้าแบรนด์ต่างๆทั้งของเกาหลีและต่างประเทศ แกลลอรี่ต่างๆและศิปะแบบตะวันตกเอาไว้ หรือเรียกได้ว่าเป็น Europe of Seoul จุดเด่นของถนนเส้นนี้นอกจากจะเป็นร้านค้าสไตล์ยุโรปแล้ว ทั้งสองฝั่งยังเรียงรายไปด้วยต้นแปะก๊วย ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีใบของต้นแปะก๊วยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทำให้ถนนเส้นนี้คึกคักเป็นพิเศษ ใครที่ไม่อยากไปดูใบไม้เปลี่ยนสีถึงเกาะนามิ พิกกี้แนะนำให้มาที่กาโรซูกิลแทนนะคะ
*ฮงแด (Hongik Univ.) รถไฟใต้ดินสาย2 สีเขียว ลงสถานี Hongik Univ. exit 8หรือ9
ปล.อีแด อิแทวอน กังนัม พิกกี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะกล้องแบตหมดค่ะ
 
ย่านฮงแด เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปะชื่อดังของกรุงโซลอย่าง มหาวิทยาลัยฮงอิก ถนนช็อปปิ้งเส้นนี้จะคึกคักไปด้วยนักศึกษามหาวิทยาลัยค่ะ ยิ่งช่วงเสาร์-อาทิตย์ จะมีน้องๆนักศึกษานำผลงานศิปะ แฮนด์เมด ภาพวาดต่างๆออกมาขาย รวมถึงมีการโชว์เล่นดนตรีสดๆกันแถวๆลานกลางฮงแดด้วย ย่านนี้มีคาเฟ่ชื่อดังหลายร้านที่น่าสนใจ ทั้ง Charlie Brown Cafe  ร้านไก่ทอดอย่าง KyoChon พร้อมกับคาเฟ่กาแฟสุดฮิตจากซีรีย์เกาหลีชื่อดังอย่างร้าน Coffee Prince ที่ว่ามาทั้งหมดนั้นพิกกี้แค่เดินผ่านนะคะ ไม่ได้เข้าไป ไม่ใช่แนวสักเท่าไหร่ 555
รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีฮงอิกก่อนถึงทางออกจะมีโซนร้านค้าอยู่ พิกกี้แนะนำให้เพื่อนๆลองชิมโฮต๊อกไส้ชีสดูนะคะ อร่อยมาก โฮต๊อกมีทั้งไส้คาวและไส้หวานค่ะ เพื่อนๆสนใจแบบไหนเลือกชิมกันได้เลย และทุกๆสถานีพิกกี้จะเห็น vending Machine เยอะมาก ทั้งขนมและเครื่องดื่ม เพื่อนๆไม่ต้องกลัวหิวระหว่างทางเลยค่ะ
ย่านนี้นักศึกษาเยอะมาก โดยเฉพาะที่ TWOSOME Cafe ของพี่หมีเท็ดดี้ Producer ของYG รวมถึงหน้าทางเข้าของมหาวิทยาลัยฮงอิกด้วย พิกกี้เองถึงจะเรียนจบมานานแล้ว แต่ก็ยังแอบแอ๊บเป็นสาวมหาลัยไปด้วย 555
วันที่พิกกี้ไปเป็นวันอังคาร คนเลยไม่เยอะเท่าที่ควร แถมไปตอนไฟดับทั่วฮงอิกด้วย ผู้คนดูตกใจกันมากที่ไฟดับ แต่ดับประมาณ10นาทีไฟก็มาค่ะ
ด้วยความที่หิ้วท้องหิวมาตั้งแต่ตอนบ่าย สุดท้ายก็เลือกร้านได้ว่าจะกินอะไรดี ร้านนี้เลยค่ะ DOSIRACK CHICKEN เป็นร้านไก่ทอดที่มีหลายซอสให้เลือก ถาดใหญ่มากกกก ทานสองคนยังไม่หมดเลยค่ะ แค่เครื่องเคียงอย่างเดียวก็อิ่มแล้ว รสชาติถือว่าใช้ได้ค่ะ ท้องอิ่มแล้วก็เดินดูงานศิลปะไปเรื่อยๆ ใครที่ชอบงานศิลปะคงจะถูกใจย่านนี้แน่ๆค่ะ
ด้วยอุณหภูมิเลขตัวเดียวบวกลมแรงๆนั้น พิกกี้กับเพื่อนต้องหาอะไรร้อนๆทานและดื่มเกือบตลอดทาง แต่ที่ถูกใจที่สุดคือ ออมุกหรือโอเด้งร้อนๆนี่แหล่ะค่ะ ทานโอเด้งไปซดน้ำซุปร้อนๆไป ช่วยให้หายหนาวได้เยอะเลยค่ะ เดินจนหนำใจก็ถึงเวลากลับที่พัก ระหว่างทางเจอเซเว่นเลยแวะเข้าไปสำรวจ ได้บะหมี่เกาหลี กิมจิ และนมกล้วยติดมือมาทานที่ห้องด้วย ถือว่าจบวันแรกไปได้ด้วยดีค่ะ เพราะยังไม่หลงทาง 555

Part II Coming soon....

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Piggy The Journey in Germany IV...The End of the Journey

จากตอนที่แล้ว...
Piggy The Journey in Germany I...Let's The Journey Begin
Piggy The Journey in Germany II...Passau, Schönberg, Grafenau, Oktoberfest
Piggy The Journey in Germany III...Munich, Weilheim, Neuschwanstein Castle, Weiskircher

ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของทริปนี้แล้วค่ะ เล่าไปเล่ามาก็ผ่านมาสามตอนแล้ว เยอะเหมือนกันนะคะแต่รู้สึกเหมือนยังมีอะไรอีกเยอะแยะที่อยากจะเล่า ฮาาาาาา

- Lake Starnberg หรือ Starnbergsee เป็นทะเลสาปน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแคว้นบาวาเรีย ด้วยครอบคลุมพื้นที่ด้านยาว 20 กิโลเมตร และด้านกว้าง 5 กิโลเมตรค่ะ ทะเลสาปนี้เป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องมามาพักผ่อนหย่อนใจด้วยมีวิวของภูเขาพาดผ่านทะเลสาป มีกิจกรรมหลักของที่นี่ก็จะเป็นล่องเรือชมวิว เล่นเรือใบ เจ็ตสกีค่ะ Piggyทราบมาว่าดาราที่มีชื่อเสียงหลายๆท่านนิยมมาซื้อบ้านพักตากอากาศที่นี่ไว้ค่ะ

สำหรับการเดินทาง มาได้ด้วยรถไฟค่ะ สะดวกมาก รถไฟจะวิ่งขนาบกับตัวทะเลสาปเลยค่ะ ลงที่สถานี Tutzing แล้วจะเดินตรงมาที่ทะเลสาปหรือจะแวะไปเดินเล่นในเมืองก่อนก็ได้ค่ะ
ริมทะเลสาปจะมีร้านอาหารหลายร้านค่ะ นั่งทานอาหารไปด้วย ชมวิวทะเลสาปไปด้วย ได้ฟีลลิ่งมากค่ะ Piggyเลยลองเสียตังสั่งอาหารนั่งชมวิวดู อยากรู้ว่าจะได้ฟีลลิ่งจริงไหม ฮาาาาา เรื่องเสียเงินขอให้บอก ร้านที่เลือกมีชื่อว่า H'ugo's Beachclub Undosa ร้านนี้ขนาดค่อนข้างใหญ่และมีชื่อเสียงค่ะตอนกลางวันเป็นร้านอาหารธรรมดา  ตอนกลางคืนจะจัดเป็น Pub&Restaurant โดยส่วนตัว Piggy คิดว่าบรรยากาศโอเคค่ะ ส่วนรสชาติอาหารและการบริการนั้น อืมมมมม คิดว่าต้องปรับปรุงค่ะ คืออาจจะเพราะ Piggy ไม่ชอบอาหารรสจืดสักเท่าไหร่ แต่หลายคนอาจชอบก็ได้ค่ะ แต่การบริการนั้นแย่จริงๆแถมยังรออาหารนานด้วยค่ะ


- Zugspitze : Top of Germany ยอดเขา Zugspitze ถือได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,962 เมตร ในวันที่อากาศดีๆ ท้องฟ้าแจ่มใสจะสามารถมองเห็นยอดเขาต้องๆในเทือกเขาAlps ได้ไกลถึง 250 กิโลเมตร ซึ่งจะทำให้เห็นยอดเขาของทั้ง 4 ประเทศคือเยอรมัน ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลีค่ะ

การเดินทางนั้นง่ายนิดเดียวค่ะ นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Garmisch-Partenkirchen แล้วเดินลอดอุโมงค์ไปฝั่งตรงข้ามเพื่อจะไปซื้อตั๋วรถไฟขึ้นยอดเขาค่ะ Piggyกับน้องซื้อตั๋วรถไฟที่เรียกว่า Bayern Ticket ค่ะ เพราะใช้เดินทางได้ 24ชั่วโมง ซื้อหลายคนราคาตั๋วก็จะยิ่งถูกลงค่ะ แถมยังใช้ลดราคาสินค้าและบริการหลายๆอย่างได้ด้วย
ลงอุโมงค์มาแล้วเดินตามป้าย Zugspitzbahn เลยค่ะ
เดินลอดอุโมงค์มาเรื่อยๆจะเจอตึกสีเหลืองๆนี้ค่ะ เป็นสำนักงานขายตั๋วค่ะ
ปอลิง ถึงตรงนี้ เราจะได้เห็นประโยชน์ของ Bayern Ticket ค่ะ บัตรโดยสารรถไฟบาเยิน สามารถใช้เป็นส่วนลดซื้อตั๋วZugspitzeBahn ได้นะเออ ตอนนั้นPiggyใช้ลดได้ 15% เลยค่ะ เริ่ดจริงๆ
ยอดเขา Zugspitze ถือว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมัน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,962 ม. หรือราวๆ ...

[Default= Read More at www.2madames.com/zugspitze-neuschwanstein-castle-germany/ © 2Madames.com เที่ยวแบบครอบครัว ไลฟ์สไตส์แบบครอบครัว]
ยอดเขา Zugspitze ถือว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมัน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,962 ม. หรือราวๆ ...

[Default= Read More at www.2madames.com/zugspitze-neuschwanstein-castle-germany/ © 2Madames.com เที่ยวแบบครอบครัว ไลฟ์สไตส์แบบครอบครัว]
ยอดเขา Zugspitze ถือว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมัน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,962 ม. หรือราวๆ ...

[Default= Read More at www.2madames.com/zugspitze-neuschwanstein-castle-germany/ © 2Madames.com เที่ยวแบบครอบครัว ไลฟ์สไตส์แบบครอบครัว]
ยอดเขา Zugspitze ถือว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมัน สูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,962 ม. หรือราวๆ ...

[Default= Read More at www.2madames.com/zugspitze-neuschwanstein-castle-germany/ © 2Madames.com เที่ยวแบบครอบครัว ไลฟ์สไตส์แบบครอบครัว]
ได้ตั๋วเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามารอรถไฟที่ชานชาลาได้เลยค่ะ
ป้ายบนรถไฟจะมีบอกหมดค่ะว่าถึงสถานีไหน แต่ละสถานีมีอะไรบ้าง ลงสถานีนี้จะได้เที่ยวอะไร ที่ตื่นเต้นที่สุดคือ เป็นรถไฟที่วิ่งอยู่ข้างในภูเขาค่ะ คือเจาะทางรถไฟเข้าไปในภูเขา Piggyอยู่ในนั้นประมาณ 20 นาที รู้ตัวอีกทีโผล่มาอยู่บนยอดเขาแล้วค่ะ ดีจริงๆ
ปอลิง ผู้ชายในภาพที่แอบถ่ายมานั้นเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานีค่ะ หน้าตาจิ้มลิ้มถูกจริต Piggy มากค่ะ O_O
ภาพถ่ายจากในรถไฟระหว่างทางขึ้นไปยอดเขาค่ะ
ระหว่างทางจะสามารถมองลงมาเห็น Eibsee ได้ด้วยค่ะ
ขอบคุณภาพถ่ายจากคุณ Shanna Pollock จาก pinterest ค่ะ
จากต้นสถานีใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงถึงสถานีปลายทาง สถานี Zugspitzplatt ค่ะ จากนั้นต้องต่อกระเช้าไฟฟ้าขึ้นไปสู่ยอดเขา

บนยอดเขามีหิมะปกคลุมทั้งปีค่ะ การเล่นสกีจึงเป็นที่นิยมกันมาก
จุดที่สูงที่สุดของ Zugspitzeค่ะ
มีเบียร์การ์เด้นไว้บริการด้วยค่ะ ดื่มท้าลมหนาวกันเลย บริเวณรอบๆก็มีร้านอาหารบริการค่ะ
                 
อากาศ ข้างบนจะหนาวมากค่ะ เพื่อนๆควรเตรียมเสื้อกันหนาวหรือกันลมไปให้พร้อม ไม่งั้นมีไม่สบายกันบ้างหล่ะค่ะ ที่สำคัญคืออากาศจะเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตอนแรกท้องฟ้าแจ่มใส สักพักเมฆและหมอกจะเคลื่อนที่มาปกคลุมอย่างรวดเร็วค่ะ Piggy แนะนำให้ตรวจเช็คสภาพอากาศก่อนขึ้นไปนะคะ
ปอลิง เช็คได้ที่นี่ค่ะ http://zugspitze.de/en/winter/mountain/zugspitze เช็คได้ทั้งสภาพอากาศ ราคาค่าตั๋ว กิจกรรมต่างๆที่สามารถไปเยี่ยมชมได้ค่ะ

- Mittenwald เป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของเยอรมันนีติดตะเข็บชายแดนออสเตรียเลย สามารถนั่งรถไฟตรงมาจากมิวนิคได้ค่ะ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง รถไฟสายที่มาก็มีทั้งสายที่ไป Innsbruck, Austria หรือสายที่มา Mittenwald โดยตรงค่ะ เมืองนี้มีชื่อเสียงในเรื่องไวโอลินค่ะ เพื่อนๆคนไหนสนใจก็สามารถหาข้อมูลได้จาก Information Centre เลยค่ะ
เมื่อรถไฟมาถึงสถานี Mittenwald แล้ว เพื่อนๆสามารถเดินเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองได้โดยเดินเข้าไปด้านหน้าสถานีค่ะ จะเห็นสวนสาธารณะก่อนเลยอันดับแรก Piggy ไม่ได้ถ่ายรูปเมืองมา เพราะไปเดินแปบเดียวค่ะ
ย้อนกลับมาจุดที่ลงรถไฟตอนแรก เดินอ้อมไปอีกฝั่งของสถานีเข้าถนนลินเด็นคอพฟ์(Lindenkopfstraße) เดินไปเรื่อยๆจะเจอถนนอิซาร์เราเอ็น (Isarauenstraße) เพื่อข้ามแม่น้ำอีซาร์ (Isar) ไหลมาจากมิวนิค Piggy เรียกว่า แม่น้ำสีฟ้าค่ะ ฮาาาาา 
เราต้องเดินไปที่คาร์เว็นเดลบาห์น (Karwendelbahn) กระเช้าไฟฟ้าเพื่อขึ้นสู่ยอดเขา ตลอดทางจะมีป้ายบอกเรื่อยๆค่ะ 
เจอบันได้สูงๆเดินขึ้นไปเลยค่ะ แล้วจะเจอสถานีขึ้นกระเช้า 
Piggy ซื้อตั๋วแบบไป-กลับค่ะ คนละ 24.50 ยูโร แนะนำว่าให้เพื่อนๆเช็คเวลาให้บริการของกระเช้าให้ดีๆนะคะ วันธรรมดากับวันหยุด เวลาเปิด-ปิดไม่เหมือนกัน แถมแต่ละฤดูก็มีเวลาเปิด-ปิดไม่เหมือนกันด้วยค่ะ เช็คอากาศ เช็คเวลาให้ละเอียด จะได้ไปไม่เสียเที่ยวนะคะ
เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนแล้วมองลงไปข้างล่างจะเห็นวิวเมือง Mittenwald ได้ทั้งเมืองเลยค่ะ
Piggyแนะนำให้เดินตามเข็มนาฬิกาค่ะ หันหลังให้อาคารรูปกล้องแล้วเดินตามเข็ม จะได้ไม่เหนื่อยมาก ถ้าเดินทวนเข็มนี่ตายแน่ๆค่ เดินกันจนขาลากขาลงนี่ต้องระวังนะคะเพราะทางค่อนข้างชัน
ข้อแนะนำสำหรับคนที่จะไปที่นี่คือ รองเท้าค่ะ ควรหารองเท้าดีๆ รองเท้าผ้าใบหนาๆ หรือรองเท้าปีนเขาไปค่ะ เพราะก้อนหินเยอะมาก 
ความพิเศษของ Mittenwald คือ เป็นชายแดนติดกับ Tirol ของประเทศออสเตรียค่ะ บนนี้จึงมีเสาแบ่งเขตแดนของสองประเทศปักอยู่ สีน้ำเงินของเยอรมัน สีแดงของออสเตรียค่ะ Piggyพอใจค่ะแล้วที่ได้มาเหยียบก้อนหินบนยอดดอยของประเทศออสเตรีย ฮาาาาาาา
ขากลับก็เช่นเดียวกับขามาเลยค่ะ เพื่อนๆควรเช็คเวลาลงของกระเช้าให้ดีนะคะว่ารอบสุดท้ายมีกี่โมง จาก Mittenwald เพื่อนๆสามารถนั่งรถไฟต่อไปออสเตรียได้เลยค่ะ
.
.
.
ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ Piggy ได้พบเจอมา มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่อย่างน้อยสิ่งต่างๆก็สอนให้ Piggy เรียนรู้ที่จะอดทน เข้มแข็ง และต่อสู้กับอุปสรรค์ที่เกิดขึ้น  เรียนรู้การต้องอยู่และเอาตัวรอดด้วยตัวของเราเอง เป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของชีวิตที่ Piggy จะไม่มีวันลืม
ขอขอบคุณผู้อุปการะคุณทุกท่าน ครอบครัวที่ยอมส่งเสียให้ไปต่างประเทศ คุณครูผู้ให้ความรู้เรื่องภาษา เพื่อนๆที่คอยอดทนรับฟังปัญหาไม่ว่าจะดึกดื่นขนาดไหน ขอบคุณตัวเองที่สามารถเข้มแข็งได้เท่าที่จะทำได้ ฮาาาาาา และขอบคุณเพื่อนๆผู้อ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านความเวิ่นของ Piggy ค่ะ